บทที่ 4 ธรณีประวัติ (Mistorical geology)
ข้อมูลทางธรณีวิทยาที่สามารถอธิบายความเป็นมาของพื้นที่ในอดีตได้แก่ อายุทางธรณีวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ โครงสร้างและการลำดับชั้นหิน เป็นต้น
อายุทางธรณีวิทยา
โดยทั่วไปอายุทางธรณีวิทยาแบ่งเป็น 2 แบบ คือ อายุเทียบสัมพันธ์ และอายุสัมบูรณ์ ซึ่งมีวิธีศึกษาแตกต่างกัน
อายุเทียบสัมพันธ์ (relative age) เป็นอายุหินเปรียบเทียบซึ่งบอกได้ว่าหินชุดใดมีอายุมากหรืออายุน้อยกว่ากัน อายุเทียบสัมพันธ์หาได้โดยอาศัยข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ที่ทราบอายุ ลักษณะการลำดับชั้นของหินชนิดต่างๆ และลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาของหิน แล้วนำมาเทียบสัมพันธ์กับช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า ธรณีกาล (geologic time) ก็จะสามารถบอกอายุของหินที่เราศึกษาได้ว่าเป็นหินยุคไหนหรือมีช่วงอายุเป็นเท่าใด
อายุสัมบูรณ์ (Absolute age) หมายถึง เป็นระยะเวลาที่สามารถบ่งบอกอายุที่แน่นอนลงไป เช่น อายุซากดึกดำบรรพ์ของหินหรือวัตถุต่างๆ ที่สามารถหาได้ ลักษณะหรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยา (โดยมาก การบอกอายุเป็นตัวเลขได้ วัดเป็นปี เช่น พันปี ล้านปี) มาหาอายุ โดยทั่วไปหมายถึงการกำหนดหาอายุที่จากการวิเคราะห์และคำนวณหาได้จากไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสีที่ปะปนประกอบอยู่ในหินหรือในซากดึกดำบรรพ์หรือวัตถุนั้นๆ ขึ้นอยู่กับวิธีการและช่วงเวลาครึ่งชีวิต(Half life period)ของธาตุนั้น ๆ เช่น C-14 มีครึ่งชีวิตเท่ากับ 5,730 ปี จะใช้กับหินหรือ Fossil โบราณคดี ที่มีอายุไม่เกิน 50,000 ปี ส่วน U-238 หรือ K-40 จะใช้หินที่มีอายุมาก ๆ ซึ่งมีวิธีการที่สลับซับซ้อน ใช้ทุนสูง และแร่ที่มีปริมาณรังสีมีปริมาณน้อยมาก วิธีการนี้เรียกว่า การตรวจหาอายุจากสารกัมมันตภาพรังสี (Radiometric age dating)
ซากดึกดำบรรพ์ (Fossils)
ซากดึกดำบรรพ์ (Fossils) คือ ซากของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อตายลงซากก็ถูกทับถมและฝังตัวอยู่ในชั้นหินตะกอน บางครั้งจะพบซากดึกดำบรรพ์เพียงอวัยวะบางส่วน แต่มีซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์บางชนิดที่มีอวัยวะครบถ้วน
ซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้เป็นที่สนใจแก่นักชีววิทยา นอกจากนี้นักธรณีวิทยาและผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับธรรมชาติวิทยาก็ให้ความสนใจมาก โดยมันจะให้ประโยชน์ในการศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น สภาพของดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อม นอกจากนี้มันยังช่วยในการศึกษาการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและสภาพภูมิประเทศ
สำหรับนักธรณีวิทยาพวกซากดึกดำบรรพ์จะบอกให้ทราบถึงอายุของหินและสภาวะแวดล้อมในอดีตว่าเป็นบนบกหรือในทะเล เป็นต้น และทำให้สามารถหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆได้ โดยสามารถบอกช่วงอายุของหินชนิดอื่นที่เกิดอยู่ร่วมกับหินตะกอนเหล่านั้นด้วย การจะใช้ซากดึกดำบรรพ์เพียงอย่างเดียวเพื่อบอกถึงอายุและสภาพแวดล้อมนั้น บางครั้งก็อาจจะผิดพลาดได้ ยกตัวอย่างเช่น สัตว์น้ำจืดเมื่อตายลงซากของมันอาจจะถูกพัดพาไปทับถมอยู่ในส่วนที่เป็นทะเล หรือซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่ในหินชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อโผล่พ้นผิวโลกขึ้นมาแล้วถูกขบวนการสลายตัวทั้งทางกายภาพ และทางเคมีจนหินผุพังลง ส่วนซากดึกดำบรรพ์นั้นสามารถทนทานต่อการสลายตัว จึงเหลืออยู่และไปทับถมอยู่ในตะกอนใหม่ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้
ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (index fossils) เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีความสำคัญมากในการกำหนดอายุของหิน สามารถบอกอายุได้แน่นอน เนื่องจากเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการทางโครงสร้างและรูปร่างอย่างรวดเร็ว มีความแตกต่างในแต่ละช่วงอายุอย่างเห็นเด่นชัด และปรากฏให้เห็นเพียงช่วงอายุหนึ่งแล้วก็สูญพันธุ์ไป ได้แต่ ไตรโลไบท์ เป็นหอยสองฝาแกรพโตไลท์ (Graptolites) เป็นพวกปะการัง และฟิวซิลินิด(fulisinid)
สารประกอบเหล็กบางชนิด เช่น ฮีมาไทต์ แร่ธาตุและสารประกอบต่างๆ นี้จะช่วยทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นทนทานต่อการสึกกร่อนและผุพัง เมื่อกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ก็จะคงสภาพเกือบเหมือนเดิม
2. ต้องถูกฝังกลบอย่างรวดเร็ว เพราะการฝังกลบอย่างรวดเร็วจะทำให้ซากสิ่งมีชีวิตไม่ถูกความร้อน กระแสน้ำ และธารน้ำแข็งที่จะทำให้เกิดการสึกกร่อนและผุพังไป จึงยังคงสภาพเดิมได้ วัสดุที่ใช้ในการฝังกลบซากสิ่งมีชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับ
1 สภาพแวดล้อมการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ซากดึกดำบรรพ์ที่เกิดในน้ำทะเลแล้วฝังตัวอยู่ในหินปูน หินดินดานจะเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่คงสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์
ประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ทั้งที่เป็นสัตว์และพืชหลายชนิดในชั้นหินตามภูมิภาพต่างๆ เช่น พบไดโนเสาร์ ชื่อว่า “ภูเวียงโกซอรัส สิรินทรเน” เป็นไดโนเสาร์ประเภทเดินสี่เท้า กินพืชเป็นอาหาร คอและหางยาว ต่อมาพบไดโนเสาร์อีกหลายชนิดที่ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และที่จังหวัดชัยภูมิ สกลนคร อุดรธานี อุบลราชธานี และนครราชสีมา จะเห็นว่าแหล่งซากไดโนเสาร์ของประเทศไทยส่วนมากจะอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในชั้นหินทราย หินทรายแป้ง ซึ่งเป็นหินอยู่ในยุคไทรแอสชิกตอนปลาย ซึ่งยุคนี้มีการทับถมของตะกอนหินดินดานสีแดงและหินทรายตามบึงหนามาก ตามทะเลทรายและหนองน้ำต่างๆ สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการสูงและพบเป็นปริมาณมากมีโครงกระดูกแข็งแรง มีเปลือกหุ้มไข่ ไดโนเสาร์เริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกโดยพบเป็นรอยเท้าอยู่มากมายในหินยุคนี้จนถึงยุคครีเทเชียสตอนกลาง
ภาพตัวอย่างฟอสซิล
ความสำคัญของการศึกษาธรณีประวัติ
1. ทำให้ผู้เรียนสามารถรู้ถึงประวัติความเป็นมาของผืนแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่
2. สามารถจำกัดขอบเขตของหินให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งได้จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์และการลำดับชั้นหินให้เป็นหมวดหมู่ตามอายุของซากดึกดำบรรพ์ จากการจำกัดขอบเขตของหินนี้มีประโยชน์ในการไปใช้วางแผนพัฒนาพื้นที่
3. การศึกษาธรณีประวัติจะทำให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
4. ช่วยในการสำรวจหาทรัพยากรธรณี ทั้งนี้เพราะหินแต่ละช่วงอายุเกิดในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันและมีทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างกัน
จากการศึกษารวบรวมข้อมูลทางด้านธรณีวิทยา สำหรับข้อมูลทางธรณีวิทยาของประเทศไทยตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะถูกรวบรวมอยู่ในรูปของแผนที่ธรณีวิทยาและรายงาน
ซากดึกดำบรรพ์หรือบรรพชีวินหรือฟอสซิล เป็นซากร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บรักษาไว้ ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ฟัน กระดูก หรือเปลือกแต่ในบางสภาวะอาจมีการเก็บรักษาซากสัตว์ทั้งตัวให้คงอยู่ได้เช่น ช้างแมมมอธที่ไซบีเรีย การเปลี่ยนแปลงจากซากสิ่งมีชีวิตมาเป็นซากดึกดำบรรพ์นั้นเกิดได้ในหลายลักษณะโดยที่เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงส่วนต่างๆของสิ่งมีชีวิตจะค่อยๆถูกเปลี่ยนเป็นช่องว่าง โพรงหรือรูต่างๆในโครงสร้างอาจมีแร่เข้าไปตกผลึกทำให้แข็งขึ้น เรียกกระบวนการนี้ว่า การกลายเป็นหิน หรือเนื้อเยื่อผนังเซลล์และส่วนแข็งอื่นๆถูกแทนที่ด้วยแร่โดยกระบวนการแทนที่ เปลือกหอยหรือสิ่งมีชีวิตที่จมอยู่ตามชั้นตะกอนอาจเกิดเป็นรอยประทับอยู่บนชั้นตะกอนซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่า รอยพิมพ์ หากว่าช่องว่างนี้มีแร่เข้าไปตกผลึกจะเรียกว่า รูปหล่อ การเพิ่มคาร์บอนโดยธรรมชาติเป็นการเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์จำพวกใบไม้หรือสัตว์เล็กๆในลักษณะที่มีตะกอนเนื้อละเอียดมาปิดทับซากสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีลักษณะบอบบางจะถูกเก็บรักษาให้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ในยางไม้
ซากดึกดำบรรพ์ยังอาจเป็นร่องรอยที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น รอยคืบคลาน รอยเท้า หรืออาจเป็นช่องรู โพรงในชั้นตะกอนในเนื้อไม้หรือในหินที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตและมีแร่ไปตกผลึกในช่องเหล่านี้ มูลสัตว์หรือเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะที่เรียกว่า คอโปรไรต์ เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีประโยชน์ในการบอกถึงนิสัยการกินของสัตว์นั้นๆหรืออาจเป็นก้อนหินที่เรียกว่า แกสโทรลิต ที่สัตว์กินเข้าไปเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
ซากดึกดำบรรพ์บางชนิดใช้เป็นตัวบอกอายุของหินและนำมาใช้เป็นหลักฐานในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆคือ ซากดึกดำบรรพ์ดรรชนี ซึ่งเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก มีการแพร่กระจายอยู่ทั่วไป แต่มีชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆในชั้นหินต่างๆ อาจพบซากดึกดำบรรพ์ดรรชนีได้ยาก จำเป็นต้องใช้กลุ่มของซากดึกดำบรรพ์ในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณนั้นๆ ซึ่งจะมีความแม่นยำกว่าการใช้ซากดึกดำบรรพ์เพียงชนิดเดียว ซากดึกดำบรรพ์ได้ถูกนำมาใช้ในการบอกถึงสภาพแวดล้อมของการสะสมตัวของตะกอนอีกด้วย
โครงสร้างและการลำดับชั้นหิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น